วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

หลักฐานทางประวัติศาสตร์

หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ละยุคสมัยอาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภท




  1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานที่เป็นตัวหนังสือโดยมนุษย์ได้ทิ้งร่องรอยขีดเขียนเป็นตัวหนังสือประเภทต่างๆ ในรูปของการจารึกในศิลาจารึกและการจารึกบนแผ่นโลหะ นอกจากนี้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรประเภทอื่น เช่น พงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำนาน และกฎหมาย
  2. หลักฐานที่เป็นวัตถุ ได้แก่ วัตถุที่มนุษย์แต่ละยุคแต่ละสมัยได้สร้างขึ้น และตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น โบราณสถาน ประกอบด้วย วัด เจดีย์ มณฑป และโบราณวัตถุ ประกอบด้วย พระพุทธรูป ถ้วยชามสังคโลก
      การแบ่งลำดับความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็น 2 ประเภท คือ
  1. หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ เป็นหลักฐานที่มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นจริงๆ โดยมีการบันทึกของผู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง หรือผู้ที่รู้เหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง  ดังนั้นหลักฐานช่วงต้น  จึงเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากที่สุด  เพราะบันทึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้  เช่น  จดมายเหตุ คำสัมภาษณ์  เอกสารทางราชการ  บันทึกความทรงจำ  กฎหมาย  หนังสือพิมพ์  ภาพยนตร์  สไลด์  วีดิทัศน์       แถบบันทึกเสียง โบราณสถาน  แหล่งโบราณคดี  โบราณวัตถุ
  2. หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ เป็นหลักฐานที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง โดยมีการเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของบทความทางวิชาการและหนังสือต่างๆ เช่น พงศาวดาร ตำนาน บันทึกคำบอกเล่า ผลงานทางการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการ  สำหรับหลักฐานชั้นรองนั้นมีข้อดี   คือ  มีความสะดวกและง่ายในการศึกษาทำความเข้าใจ  เนื่องจากเป็นข้อมูลได้ผ่านการศึกษาค้นคว้า  ตรวจสอบข้อมูล  วิเคราะห์เหตุการณ์และอธิบายไว้อย่างเป็นระบบ  โดยนักประวัติศาสตร์มาแล้ว
ลักษณะสำคัญของหลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย มีอยู่หลายลักษณะ อาจแบ่งลักษณะสำคัญของหลักฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร ได้แก่
1.1 โบราณสถาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ขนาดต่างๆกัน อยู่ติดกับ
พื้นดินไม่อาจนำเคลื่อนที่ไปได้ เช่น กำแพงเมือง คูเมือง วัง วัด ตลอดจนสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในวัด
และวัง เช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และที่อยู่อาศัย
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณสถาน จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของโบราณสถานนั้นๆ
 
                                     ปราสาทหินพิมาย                                                  ปราสาทหินพนมรุ้ง
ที่มาภาพ  http://www.thaigoodview.com/files/u1300/pimai.jpg      ที่มาภาพ : http://www.kodhit.comimages/stories/travel/
norteast/phasadkhow/12.jpg
1.2 โบราณวัตถุ หมายถึง สิ่งของโบราณที่มีลักษณะต่างๆกัน สามารถนำติดตัว
เคลื่อนย้ายได้ ไม่ว่าสิ่งของนั้นๆ จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ  เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น หรือเป็น  ส่วนหนึ่งส่วนใดของโบราณสถาน และสิ่งของที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยประวัติศาสตร์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพต่างๆ เครื่องประดับ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
               การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ทางประวัติศาสตร์เสมอไป และสามารถไปศึกษาได้จากแหล่งรวบรวมทั้งของราชการ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
                 
                   เครื่องปั้นดินเผาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง                    หม้อบ้านเชียง
ที่มาภาพ : http://www.thaitourzone.com/eastnorth/udon/museum.JPG       ที่มาภาพ : http://gaprobot.spaces.live.com/
blog/cns!EDF1593B634FDF0!319.entry
2. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
                2.1 จารึก ในแง่ของภาษาแล้วมีคำอยู่ 2 คำที่คล้ายคลึงและเกี่ยวกับข้องกัน คือ
คำว่า จาร และจารึก
คำว่า จาร แปลว่า เขียนอักษรด้วยเหล็กแหลมลงบนใบลาน
คำว่า จารึก แปลว่า เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผ่นศิลาหรือโลหะ
                ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คำว่า จารึก หมายรวมถึง หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งใช้วิธีเขียนเป็นรอยลึก ถ้าเขียนเป็นรอยลึกลงบนแผ่นหิน เรียกว่า ศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเขียนลงบนวัสดุอื่นๆ เช่น แผ่นอิฐ เรียกว่า จารึกบนแผ่นอิฐ แผ่นดีบุก เรียกว่า จารึกบนแผ่นดีบุก และการจารึกบนใบลาน
                นอกจากนี้ยังมีการจารึกไว้บนปูชนียสถานและปูชนียวัตถุต่างๆ โดยเรียกไปตามลักษณะของจารึกปูชนียวัตถุสถานนั้นๆ เช่น จารึกบนฐานพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย สมัยลพบุรี
จารึกบนฐานพระพุทธรูป วัดป่าข่อย จังหวัดลพบุรี 
ที่มาภาพ : http://pirun.kps.ku.ac.th/~b4927046/mon4_5_clip_image001_0000.jpg
 
 จารึกวัดโพธิ์ จังหวัดนครปฐม 
ที่มาภาพ : http://www.openbase.in.th/files/u10/monstudies035.jpg
                เรื่องราวที่จารึกไว้บนวัสดุต่างๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวของพระมหากษัตริย์และศาสนา จารึกเหล่านี้มีทั้งที่เป็นตัวอักษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ       ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต จารึกที่ค้นพบในประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก เช่น จารึกสมัย    ทวารวดี จารึกศรีวิชัย จารึกหริภุญชัย  และจารึกสุโขทัย
 
ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

                การศึกษาเรื่องราวความเป็นมาในอดีตของดินแดนประเทศไทย  มีเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัยในช่วงระยะ  ดังนี้

                ยุคก่อนประวัติศาสตร์
                ยุคก่อนประวัติศาสตร์  หมายถึง  ยุคที่มนุษย์ยังไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ของชุมชน  การเรียนรู้เรื่องราวในยุคนี้ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี  ยุคก่อนประวัติศาสตร์เริ่มตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดและดำรงชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ  ภายหลังจึงสามารถปรับสภาพชีวิตความเป็นอยู่  ให้ดีขึ้น โดยทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์  เช่น  ประดิษฐ์เครื่องมือ  เครื่องใช้ที่มีคุณภาพ รู้จักการเพาะปลูก  คิดค้นเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต  เกิดลัทธิความเชื่อและขนบธรรมเนียมที่เป็นระบบ  มีการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมต่างๆ  มีการจัดระเบียบให้สังคมและการปกครอง  มีการติดต่อกับชุมชนต่างถิ่นต่างแดน  อันนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนและค้าขายร่วมถึงการรับและส่งทอดอิทธิพลทาง วัฒนธรรมต่างๆ  ระหว่างชุมชน  ด้วยการสร้างสมความเจริญเหล่านี้ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่คนรุ่นหลัง

                ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยมีการแบ่งช่วงของพัฒนาการแบบสากลเป็น  2  ลักษณะ  คือ
1.  การแบ่งตามประเภทของวัสดุที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้และเทคนิควิธีการ  แบ่งย่อยได้ดังนี้
1.1 ยุคหิน  มนุษย์รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธจากหิน  แต่คงมีที่ทำด้วยไม้  กระดูก  และเขาสัตว์อยู่ด้วย  ในยุคนี้มีการแบ่งออกเป็นสมัยย่อยๆ ตามคุณลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้และความสามารถของมนุษย์  คือ
ยุคหินเก่า   ประมาณ  500,000 -10,000  ปีมาแล้ว  มนุษย์ในยุคหินเก่าดำรงชีวิตตามธรรมชาติ  รู้จักการนำหินมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้โดยการกะเทาะอย่างหยาบๆ  ไห้เกิดความคมเท่านั้น  เริ่มรู้จักการใช้และประดิษฐ์ไฟ  อาศัยตามถ้ำหรือเพิงผา
ยุคหินกลาง  ประมาณ  10,000 – 6,000  ปีมาแล้ว  มนุษย์ในยุคหินกลางรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผา  การทอผ้า  เริ่มมีพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย  ส่วนเครี่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากหิน ในยุคหินกลางจะเป็นเครื่องมือหินที่กะเทาะอย่างละเอียดมากขึ้น  ขนาดเครื่องมือเล็กลง  และเริ่มมีรูปแบบที่แน่นอนมากขึ้น
ยุคหินใหม่  ประมาณ  6,000 – 4,000  ปีมาแล้ว  เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคหินใหม่  จะมีการประดิษฐ์ตกแต่งเรียบร้อยโดยการขัดจนเรียบเป็นมัน  รู้จักการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์  ทำให้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งสร้างที่อยู่อาศัย  มีการผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนและการค้า   
                1.2 ยุคโลหะ  มนุษย์ยุคนี้รู้จักนำโลหะมาหลอมและประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้  ที่มีคุณภาพมากขึ้น  มีพัฒนาการทางสังคม  เศรษฐกิจ  และการปกครอง  กล่าวคือ  ชุมชนมนุษย์ยุคโลหะมีการจัดตั้งเป็นสังคมเมืองอย่างเป็นระบบ  มีลัทธิศาสนา  รู้จักการเดินเรือ  รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์  สำหรับยุคโลหะนี้  สามารถแยกย่อยออกเป็น  2  ระยะ  คือ
                                ยุคสำริด  ประมาณ 2,500 – 4,000  ปีมาแล้ว  มนุษย์ที่อาศัยในดินแดนประเทศไทยได้นำแร่ทองแดงและดีบุกมาหล่อเป็นสำริด  สำหรับทำเครื่องมือเครื่องใช้รวมถึงทำเป็นเครื่องประดับด้วย
                                ยุคเหล็ก  ประมาณ 1,500 – 2,500  ปีมาแล้ว  มนุษย์อาศัยในดินแดนประเทศไทยนำแร่เหล็กที่มีความทนทานกว่าสำริดมาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้  ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีการใช้สำริดในการทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับอื่นๆอีกด้วย
2.  การแบ่งตามวิถีการดำรงชีวิต  การแบ่งยุคสมัยประเภทนี้  แบ่งตามลักษณะการปรับสภาพการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคม  โดยแบ่งเป็นสมัยดังนี้
                2.1 สมัยชุมชนล่าสัตว์  ประมาณ  4,500  ปีขึ้นไป  มนุษย์มีความเป็นอยู่ตามธรรมชาติไม่มีการตั้งหลักแหล่งหรือที่พักอาศัยถาวร  ยังคงเร่ร่อนและดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร
                2.2  สมัยหมู่บ้านเกษตรกรรม  เริ่มประมาณ  4,500  ปีมาแล้ว  มนุษย์รู้จักการเพาะปลูก  มีการตั้งหลักแหล่งอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดเล็ก  สามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นภายในชุมชนของตน  เช่น การทำภาชนะดินเผา  การทอผ้า  ฯลฯ  และมีการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย
                2.3 สมัยสังคมเมือง  ประมาณ  2,500 ปีมาแล้ว  มนุษย์ตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนในบริเวณพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์  เกิดการพัฒนาการด้านต่างๆ จนกลายเป็นบ้านเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น


แหล่งอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
1.  บ้านเก่า  อยู่ในยุดหินใหม่  ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง  จังหวัดกาญจนบุรี  ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินขัดเรือ” ขวานฟ้า   เครื่องประดับที่ทำด้วยหิน เช่น  กำไล  ลูกปัด  และเครื่องปั้นดินเผาสีดำสามขา  เป็นต้น
2.  ถ้ำพระ  อยู่ในยุคหินกลาง  ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอไทรโยค  จังหวัดกาญจบุรี  มนุษย์รู้จักการทำขวานหินประณีตขึ้นมีการกะเทาะทั้งสิงข้างให้เรียบ
3.  ถ้ำผี  อยู่ในยุคหินกลางเช่นเดียวกัน  แต่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  ได้มีการขุดค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผา กระดูกสัตว์  ตลอดทั้งซากพืช เมล็ดพืชหลายชนิดที่แสดงให้เห็นว่าได้มีการนำพืชมาปลูก
4.  บ้านเชียง  อยู่ในยุคโลหะ  ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง  อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี  มีการขุดค้นพบเครื่องปั้นดินเผา  ลายเขียนสีที่สวยงามมาก  และยังขุดค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยสำริด  เช่น  กำไลหิน แหวน  และลูกปัด  เป็นต้น
                บ้านเชียง  เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคสำริดต่อเนื่องจนถึงยุคเหล็ก  ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี    เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณคดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก  อายุยุคสำริดและยุคเหล็กที่บ้านเชียงจัดว่าเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก  จนในที่สุดองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก  ( UNESCO )ประกาศยกย่องให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเป็น  มรดกโลกทางวัฒนธรรม  เมื่อ พ.ศ. 2535
อ้างอิง